เมื่อพ่อของโจซีที่ป่วยและชราย้ายมาอยู่กับเธอ เธอรู้สึกหนักใจกับสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในแต่ละวันในการดูแลท่าน ยาที่เธอต้องการซื้อมีราคาแพง ทักษะในการดูแลผู้ป่วยและสติปัญญาที่เธอต้องการเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของพ่อที่แย่ลง และยังมีงาน “เต็มเวลา” ของเธออีก ทั้งหมดนี้กำลังทำให้เธอหมดแรง เธอพูดว่า “ฉันจะรวบรวมพละกำลัง ทรัพยากรที่มีประโยชน์ สติปัญญาและความรักเอาไว้ และแจกจ่ายออกไปได้อย่างไร”
โจซีพบความหวังในพระธรรมเพลงคร่ำครวญซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความโศกเศร้าที่เยเรมีย์และประชากรของพระเจ้ารู้สึก กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายโดยพวกบาบิโลน และชาวยิวต้องเผชิญกับการเนรเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ความทุกข์ทรมานนั้นท่วมท้นแต่พระเจ้าทรงสัญญาว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” (พคค.3:22) แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญาอีกต่อไป แต่ความรักตามพันธสัญญาของพระองค์จะคงอยู่กับพวกเขาเพราะ “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด” (ข้อ 22)
ความรักที่พระเจ้ามีต่อลูกๆของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด โจซีตระหนักเช่นเดียวกับข้อ 24 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นส่วนของฉัน ทรงเป็นทรัพยากรทั้งหมดของฉัน” และ “ทุกวันฉันสามารถรวบรวมและให้สิ่งที่จำเป็นได้ เพราะฉันได้รับกำลังมาจากพระองค์ผู้ซึ่งความรักของพระองค์ไม่มีวันหมดสิ้น”
เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีความหวังได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าก็ตาม ในพระปัญญาอันสมบูรณ์แบบนั้น พระองค์ทรงรู้ว่าเราต้องการอะไรและจะประทานแก่เราตามที่ทรงเห็นว่าดีที่สุด
อเล็กซ์ได้รับเงินจากประกันของเขาโดยไม่คาดคิดเพื่อจ่ายเป็นค่าทำฟัน ซึ่งเป็นเหมือนคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ ตอนนี้มีการรักษาอย่างอื่นที่จำเป็นตามมา ผมจะไปหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย อเล็กซ์บ่น ความขุ่นเคืองเรื่องรายจ่ายก้อนโตถมทับจิตใจของเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดวางมัดจำกับทันตแพทย์ มีเงินของขวัญจากญาติส่งมาถึงทันเวลา “ผมรู้สึกละอายใจ” อเล็กซ์กล่าว “ผมเพิ่งเห็นการทรงดูแลของพระเจ้าผ่านบริษัทประกัน ผมไม่น่าจะบ่นแต่ควรขอความช่วยเหลือจากพระองค์แทน”
เมื่อชนชาติอิสราเอลเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารชูร์ พวกเขาเพิ่งผ่านประสบการณ์การช่วยกู้จากพระเจ้าที่ทะเลแดง (อพย.14) ถึงกระนั้นการทรงช่วยที่อัศจรรย์ของพระองค์ดูเหมือนจะถูกลืม เพราะพวกเขาบ่นเรื่องไม่มีน้ำดื่มในทะเลทราย (อพย.15:22-24) คำว่า “บ่น” ในภาษาฮีบรูหมายถึงการกบฏต่อพระเจ้า การตอบสนองอย่างขุ่นเคืองของชนชาติอิสราเอลแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการตอบสนองของโมเสสผู้ทูลขอการทรงช่วยจากพระเจ้า (ข้อ 25) ต่อมาพระเจ้าทรงเมตตาจัดเตรียมน้ำให้กับประชากรของพระองค์ (ข้อ 25-27)
ในยามจำเป็น เราสามารถหลีกเลี่ยงการพร่ำบ่นได้โดยทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเหมือนที่โมเสสทำ ไม่ว่าความช่วยเหลือของพระองค์จะมาถึงเราอย่างน่าอัศจรรย์ หรือในรูปแบบที่ดูธรรมดา หรือผ่านการช่วยเหลือของผู้คน หรือเป็นพละกำลังให้เราสามารถฝ่าฟันไปได้ ไม่ว่าในทางใดเราก็ไว้วางใจได้ว่าพระเจ้าทรงได้ยินและห่วงใยเราเสมอ
ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับโครงงานที่ทำอยู่ได้เพราะความวิตกกังวล ฉันกลัวว่าแผนที่วางไว้จะไม่สำเร็จ ความวิตกกังวลของฉันมาจากความเย่อ-หยิ่ง ฉันเชื่อว่าตารางเวลาและแผนการของฉันดีที่สุด ฉันจึงอยากให้มันเป็นไปอย่างราบรื่น แต่คำถามก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า แผนการของเธอเป็นแผนการของพระเจ้าหรือเปล่า
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวางแผนของฉัน เพราะพระเจ้าทรงเรียกให้เรามีสติปัญญาในการจัดการเวลา โอกาส และทรัพยากรของเรา แต่ปัญหาคือความหยิ่งผยองของฉัน ฉันสนใจแต่ว่าฉันเข้าใจสถานการณ์ได้ดีแล้วและผลลัพธ์เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ไม่ได้จดจ่อที่พระประสงค์ของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องการให้เป็น
ยากอบหนุนใจให้เราพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” (4:15) เราต้องไม่วางแผนด้วยท่าทีที่อวดดีโดยคิดว่าเรารู้ทุกอย่างและควบคุมชีวิตตัวเองได้ แต่ด้วยท่าทีที่ยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ “ไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้” ในความเป็นมนุษย์ เราอ่อนแอและไร้ความสามารถ ดังเช่น “หมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็หายไป” (ข้อ 14)
ไม่ใช่ตัวเราเองแต่เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชเหนือทุกสิ่งในชีวิตเรา พระองค์ทรงนำให้เรายอมจำนนต่อแผนการและเส้นทางของพระองค์ โดยผ่านทางพระวจนะและผู้คน ผ่านทรัพยากรและสถานการณ์ต่างๆที่พระองค์ประทานในแต่ละวัน แผนการของเราไม่ควรมาจากการติดตามตนเองแต่มาจากการติดตามพระองค์
บิลเป็นสุภาพบุรุษวัยเกษียณที่อาศัยตามลำพังและเพิ่งจะเลิกขับรถ เขาต้องการความช่วยเหลือในการซื้อของ รับยาตามใบสั่งยา และไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ “แต่คุณรู้ไหม” บิลพูด “ผมชอบทุกวันที่ได้อยู่บ้าน ผมมีความสุขกับการฟังเพลงนมัสการออนไลน์ฟรี และดูการสอนพระคัมภีร์ผ่านโทรทัศน์ตลอดทั้งวัน” บิลใช้เวลาทุกวันอยู่กับพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการสรรเสริญ
สิ่งที่เราทำเป็นนิสัยจะกำหนดที่ซึ่งเราปลูกหัวใจของเราไว้ สดุดี 1 บรรยายถึงอุปนิสัยของผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พวกเขายินดีในความจริงของพระองค์ ภาวนาถึงความจริงนั้นอยู่เสมอ และไม่ทำตามวิถีกบฏของโลกนี้ (ข้อ 1-2) เราทุกคนจะต้องพบกับความยากลำบาก แต่ชีวิตที่วางรากฐานอยู่ในวิถีของพระเจ้านั้น “เป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ...และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง” (ข้อ 3) เราอาจไม่สามารถใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ได้หลายชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลในชีวิตของเรา กระนั้นพระเยซูตรัสว่าพระองค์จะทรงให้ทุกคนที่กระหายและมาหาพระองค์ได้ดื่ม และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมผู้ที่ติดตามพระองค์ให้เต็มล้นเหมือนแม่น้ำ (ยน.7:37-39) เราสามารถทำให้ใจของเราท่วมท้นด้วยน้ำธำรงชีวิตผ่านการสรรเสริญและผ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งผ่านการดูแลผู้อื่น ผ่านการพูดคุยกับพระเจ้าในขณะที่เราทำงาน และโดยทูลขอการอภัยเมื่อเราทำผิดพลาดไป
การดำเนินตามพระปัญญาของพระเจ้าคือการปลูกหัวใจของเราไว้ในดินที่อุดมสมบูรณ์ นี่คือชีวิตของผู้ที่ถูกเรียกว่าชอบธรรม และพระเจ้าทรงเฝ้าดูอยู่ (สดด.1:6)
ตอนเป็นเด็กเมื่อเบนถูกถามว่า “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” เขาจะตอบว่า “ผมอยากเป็นเหมือนเดฟ” พี่ชายของเบนเป็นนักกีฬา เข้ากับคนง่าย และเป็นนักเรียนเรียนดี แต่เบนนั้นตรงกันข้าม เขาบอกว่า “ผมเล่นกีฬาไม่เก่ง ขี้อาย และมีปัญหาภาวะการเรียนรู้บกพร่อง ผมอยากสนิทกับเดฟมาตลอด แต่เขาไม่อยากสนิทกับผม เขาเรียกผมว่า ‘คนน่าเบื่อ’”
เบนใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักของพี่ชายโดยเปล่าประโยชน์ จนกระทั่งเบนมาเชื่อพระเยซู เขาจึงได้เรียนรู้ที่จะพักสงบในความรักขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเขา
เลอาห์ภรรยาคนแรกของยาโคบ ใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักจากสามี (ปฐก.29:32-35) แต่ยาโคบก็ยังคงรักแต่ราเชล พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของเลอาห์และชดเชยให้กับการที่เธอถูกปฏิเสธในชีวิต พระองค์ทรงอวยพรเธอโดยให้เธอได้เป็นมารดา ซึ่งถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในวัฒนธรรมสมัยนั้น (ข้อ 31) ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรและฟังเสียงของเลอาห์ซึ่งถูกสามีมองข้ามและไม่รับฟัง (ข้อ 32-33) เธอให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหกคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยูดาห์ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระเยซู เธอกล่าวตอนคลอดเขาว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า” (ข้อ 35) เลอาห์มีอายุยืนยาวในคานาอันและถูกฝังไว้ในสถานที่อันทรงเกียรติร่วมกับครอบครัวของยาโคบ (49:29-32)
เมื่อเราถูกมองข้าม ให้เราใช้เรื่องราวของเลอาห์เพื่อปลอบประโลมใจ เราสามารถพักสงบในความรักของพระเจ้าผู้ทรงชดเชยให้กับเราในสิ่งที่ขาดหายไป
การเห็นพ่อสูญเสียความทรงจำนั้นเจ็บปวด ภาวะสมองเสื่อมเป็นความโหดร้ายที่พรากความทรงจำของผู้คนไปจนไม่เหลืออะไรให้ระลึกถึงเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา คืนหนึ่งฉันมีความฝันซึ่งฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงใช้เพื่อหนุนใจฉัน ในความฝันพระองค์ทรงมีหีบสมบัติเล็กๆอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ “ความทรงจำทั้งหมดของพ่อเจ้าถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในนี้” พระองค์ทรงบอกฉัน “ในระหว่างนี้เราจะเก็บมันไว้ แล้ววันหนึ่งบนสวรรค์เราจะคืนให้กับเขา”
หลายปีต่อมา ความฝันนี้ปลอบประโลมใจฉันทุกครั้งที่พ่อไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร มันเตือนใจฉันว่าโรคที่พ่อเป็นนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราว เพราะพ่อเป็นลูกของพระเจ้า วันหนึ่งพ่อจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างถาวร
สิ่งที่ช่วยฉันอีกอย่างคือการนึกถึงว่าเปาโลได้อธิบายถึงความทุกข์ลำบากว่าเป็นสิ่ง “เล็กๆน้อยๆเพียงชั่วคราว” (2 คร.4:17 TNCV) เปาโลไม่ได้ประมาทความทุกข์ยาก เพราะตัวท่านเองผ่านการทนทุกข์มาอย่างหนัก (ข้อ 7-12) ท่านกำลังเน้นย้ำว่า เมื่อเทียบกับความเป็นนิรันดร์และความรุ่งโรจน์ในพระคริสต์ที่เราจะได้รับในอนาคตแล้ว ปัญหาของเราก็เล็กน้อยและคงอยู่เพียงชั่วขณะ พระพรอันรุ่งเรืองทั้งสิ้นในพระเยซูที่เราได้รับแล้วในเวลานี้ รวมถึงพระพรที่เราจะได้รับในอนาคตจะมีมากมายเกินกว่าความทุกข์ยากทั้งหมดนั้นอย่างถาวร (ข้อ 17)
เพราะเรามีพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ เราจึงเลือกได้ว่าจะไม่หมดกำลังใจ ถึงแม้เราทนทุกข์ เราก็สามารถดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยความเชื่อโดยพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เราจำเริญขึ้นใหม่ (ข้อ 16) วันนี้ ให้เรา “จับจ้อง” ที่พระสัญญานิรันดร์ของพระองค์ (ข้อ 18 TNCV)
ความกลัวปลุกฉันขึ้นมาตอนตีสามในวันแรกของปีใหม่ ปีที่กำลังมาถึงนี้สร้างความหนักอึ้งให้ฉัน ท่วมท้นฉันด้วยความกลัว ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัวทำให้ฉันอ่อนล้า และตอนนี้ความคิดในเรื่องของอนาคตทำให้ฉันกลัว แล้วจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากกว่านี้ไหมนะ
สาวกของพระเยซูเข้าใจถึงความกลัวว่าจะมีสิ่งร้ายเกิดขึ้น แม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาได้จัดเตรียมและยืนยันกับพวกเขาในวันก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พวกเขาก็ยังกลัว พวกเขาหลบหนีตอนที่พระองค์ถูกจับ (มธ.26:56) เปโตรปฏิเสธพระองค์ (ยน.18:15-17,25-27) และพวกเขาไปซ่อนตัว (20:19) ความกลัวของพวกเขาในช่วงความโกลาหลของการจับกุมพระเยซูและการตรึงกางเขน รวมถึงการข่มเหงทำให้พวกเขาทำตรงกันข้ามกับคำสั่งของพระองค์ที่ว่า “จงชื่นใจเถิด” และพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราได้ชนะโลกแล้ว” (16:33)
แต่การสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์พิสูจน์ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชเหนือชีวิตและความตาย พระองค์ทรงมีชัยชนะสูงสุด แม้สถานะที่ผิดบาปของโลกนี้จะทำให้เกิดความทุกข์ยาก แต่เราสามารถพักสงบในความจริงที่ว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงสติปัญญาและเปี่ยมด้วยความรัก พระเยซูสถิตอยู่กับเรา (16:32-33) ดังเช่นที่สถิตกับเหล่าสาวกผู้ซึ่งในภายหลังได้ออกไปแบ่งปันพระกิตติคุณด้วยความมั่นใจ ขอให้พระสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่นั้นจะเสริมจิตใจเราให้เข้มแข็งที่จะเชื่อวางใจพระองค์ในปีใหม่นี้ และที่เราจะกล้าหาญแม้ในเวลาที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร
เมื่อพี่สาวฉันพบหนังสือนิทานในวัยเด็กของเรา แม่ของฉันซึ่งตอนนี้อายุเจ็ดสิบปีแล้วรู้สึกดีใจมาก ท่านจำรายละเอียดตลกๆทั้งหมดของเจ้าหมีที่ขโมยน้ำผึ้งและถูกฝูงผึ้งที่โมโหไล่ล่าได้ ท่านยังจำได้ว่าฉันกับพี่หัวเราะกันขนาดไหนในขณะที่คอยลุ้นให้เจ้าหมีหนีไปได้ ฉันบอกแม่ว่า “ขอบคุณค่ะที่คอยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังตอนเรายังเด็ก” ท่านรู้เรื่องราวทั้งหมดของฉันรวมถึงสิ่งที่ฉันเป็นในวัยเด็กด้วย ตอนนี้ฉันโตแล้ว ท่านก็ยังรู้จักและเข้าใจฉัน
พระเจ้าก็เช่นกัน พระองค์ทรงรู้จักเราอย่างลึกซึ้งเกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักได้ รวมถึงตัวเราเองด้วย ดาวิดบอกว่าพระองค์ทรง “ตรวจสอบ” เรา (สดด.139:1) พระองค์ทรงตรวจสอบเราด้วยความรักและเข้าใจเราอย่างถ่องแท้ พระเจ้าทรงทราบความคิดของเรา ทรงเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังและความหมายของสิ่งที่เราพูด (ข้อ 2, 4) พระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับทุกรายละเอียดที่ทำให้เราเป็นเรา และพระองค์ทรงใช้ความรู้นี้เพื่อช่วยเรา (ข้อ 2-5) พระองค์ผู้ทรงรู้จักเรามากที่สุดจะไม่หันหลังใส่เราด้วยความไม่พอใจ แต่จะทรงเข้ามาหาเราด้วยความรักและพระปัญญาของพระองค์
เมื่อเรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกมองข้าม หรือถูกลืม เรารู้สึกมั่นคงได้ในความจริงที่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ทรงมองเห็นเรา และรู้จักเรา (ข้อ 7-10) พระองค์ทรงรู้จักเราในทุกแง่มุมที่คนอื่นไม่รู้ และอื่นๆอีกมากมาย เราสามารถพูดด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกับดาวิดว่า “พระองค์ได้...ทรงรู้จักข้าพระองค์...พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 1, 10)
มิล่าเป็นผู้ช่วยในร้านเบเกอรี่ เธอรู้สึกว่าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เมื่อหัวหน้ากล่าวหาว่าเธอขโมยขนมปังลูกเกด การกล่าวโทษโดยไม่มีหลักฐานและการหักเงินเดือนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการกระทำที่ไม่ถูกต้องมากมายจากหัวหน้าของเธอ “พระเจ้าข้า โปรดช่วยด้วย” มิล่าอธิษฐานทุกวัน “เป็นเรื่องยากมากที่จะทำงานกับหัวหน้าคนนี้ แต่ลูกต้องการงานนี้”
พระเยซูเล่าถึงเรื่องของหญิงม่ายที่รู้สึกจนมุมและแสวงหา “ความยุติธรรมแก่ [เธอ]ในการสู้ความ” (ลก.18:3) เธอหันไปหาคนมีอำนาจที่จะแก้คดีความของเธอ คือผู้พิพากษา แม้เธอจะรู้ว่าผู้พิพากษานั้นไม่มีความยุติธรรม เธอยังยืนยันที่จะเข้าไปหาเขา
การตอบสนองในท้ายที่สุดของผู้พิพากษา (ข้อ 4-5) นั้นต่างจากพระบิดาในสวรรค์ของเราโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยความรักและการช่วยเหลือ ถ้าการยืนหยัดอย่างไม่ลดละทำให้ผู้พิพากษาอธรรมยอมช่วยหญิงม่ายแล้ว พระเจ้าองค์ผู้พิพากษาผู้เที่ยงธรรมจะสามารถและจะทรงทำเพื่อเรามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด (ข้อ 7-8) เราวางใจให้พระองค์ “ประทานความยุติ-ธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้” ได้ (ข้อ 7) และการยืนหยัดในการอธิษฐานเป็นหนึ่งในวิธีที่แสดงถึงความไว้วางใจของเรา เรายืนหยัดเพราะเรามีความเชื่อว่าพระเจ้าจะตอบสนองด้วยพระปัญญาอันบริบูรณ์ต่อสถานการณ์ของเรา
ท้ายที่สุดหัวหน้าของมิล่าลาออกหลังจากที่พนักงานหลายคนร้องเรียนถึงพฤติกรรมของเธอ ขณะที่เราดำเนินไปด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า ขอให้เรายืนหยัดในการอธิษฐาน โดยรู้ว่าฤทธิ์อำนาจของการอธิษฐานนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงได้ยินเราและช่วยกู้เรา